ประวัติศาสตร์จังหวัดบุรีรัมย์




คำว่า บุรีรัมย์ ซึ่งแปลว่า เมืองที่น่าพอใจ มีความเป็นมายาวนานและมีหลักฐานที่แตก ต่างกัน จะขอนำตัวอย่างหลักฐานอ้างอิง ดังนี้
              
 
ประกาศแต่งตั้งขุนนางไทย ร.. ๘๗ ปีที่ ๑ รัชกาลที่ ๕ มีความว่า ให้พระสำแดง-ฤทธิณรงค์ เป็น  พระนครภักดีศรีนัครา เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองบุรีรัมย์ ขึ้นเมืองนครราชสีมา    ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ฯลฯ  ตั้งแต่ ณ วัน ๔ ฯ ๓ ค่ำ ปีมะโรง สัมฤทธิศก ศักราช ๑๒๓๐ เป็นวันที่ ๖๕ ใน   รัชกาลปัจจุบัน
. จากประวัติจังหวัดนครราชสีมา แต่งโดยสุขุมาลย์เทวี กล่าวว่า สมัย สมเด็จ         พระนารายณ์มหาราช เมืองนครราชสีมาปกครองเมืองขึ้น ๕ เมือง คือ นครจันทึก ชัยภูมิ พิมาย บุรีรัมย์ นางรอง
. ประชุมพงศาวดารฉบับความสำคัญ โดยหลวงวิจิตรวาทการ. ๓ กล่าวว่า บุรีรัมย์  เดิมชื่อ โนนม่วง ตั้งสมัยกรุงธนบุรี พ.. ๒๓๑๘
ประวัติศาสตร์จังหวัดบุรีรัมย์ มีความแตกต่างจากประวัติศาสตร์จังหวัดอื่น ตรงที่ว่า ประวัติศาสตร์จังหวัดอื่นส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ชุมชน ซึ่งรวมตัวกันขึ้นในจุดใดจุดหนึ่ง และจุดนั้นก็พัฒนามาจนกลายเป็นจังหวัด หรือเมืองนั้นๆ แต่เมืองบุรีรัมย์จุดเริ่มต้นและจุดที่เป็นจังหวัดคนละแห่งกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองจุดก็ไม่ได้แน่นแฟ้นกันนัก ประวัติศาสตร์ที่ได้มาจึงมีลักษณะที่เด่น คือเป็นเรื่องของชาวบุรีรัมย์ ไม่ใช่เป็นเรื่องของเจ้าเมืองบุรีรัมย์เพียงอย่างเดียว
ดินแดนอันเป็นที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ปัจจุบัน เป็นดินแดนที่เคยรุ่งเรืองมาในอดีต มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นมาโดยตลอด จากหลักฐานต่างๆ ดังต่อไปนี้
. จากการศึกษาสำรวจ  และศึกษาจากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของ รศ. ศรีศักร      วัลลิโภดม และ ผศ. ทิวา  ศุภจรรยา ปรากฏว่า มีเมืองและชุมชนโบราณเฉพาะในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ เกินกว่า ๑๓๐ แห่ง เมืองและชุมชนเหล่านั้นจะมีคูน้ำ คันดินล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ก็มีลักษณะของเมืองเป็นรูปทรงกลมเกือบทั้งหมด จากการวิเคราะห์ในชั้นต้นเป็นเมืองและชุมชนที่อายุอยู่ในสมัยทวารวดี  ซึ่งจากข้อสำรวจดังกล่าวในบริเวณลำน้ำมูลพบว่า ลำน้ำนี้เป็นลำน้ำหลักของบริเวณ ไหลมาจากทางทางตะวันตกผ่านตอนใต้ของอำเภอพุทไธสง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ไปยังเขตอำเภอชุมพลบุรี และอำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ตามลำดับ ทางฝั่งใต้ของ  แม่น้ำมูลในรัศมี ๒ - ๑๗ กิโลเมตร จากฝั่งน้ำ ได้พบชุมชนเป็นระยะไป ซึ่งล้วนแต่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มทั้งสิ้น คือ บ้านปะเคียบ  บ้านโนนสูง  บ้านแพ  บ้านดงเค็ง  บ้านสระขี้ตุ่น  บ้านเขว้า  บ้านกระเบื้อง บ้านโคกเมืองไช บ้านเมืองน้อย บ้านดงพลอง บ้านตะแบง บ้านโคกเมือง บ้านทุ่งวัง และบ้านสำโรง  ชุมชนโบราณที่กล่าวถึงนี้อาจวิเคราะห์ตามรูปร่างลักษณะและสภาพแวดล้อม คือ
() แบบที่เป็นเนินดินสูงจากระดับ ๕ เมตรขึ้นไป จากที่ราบลุ่มในบริเวณรอบๆ ไม่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ บางแห่งก็เป็นเนินเดี่ยว แต่บางแห่งก็เป็นสองสามเนินดินต่อกัน ตามเนินดินจะมีเศษเครื่องปั้นดินเผา ทั้งที่มาจากหม้อกระดูกและไม่ใช่หม้อกระดูกกระจัดกระจายอยู่เนินดิน ที่เป็นแหล่งสำคัญในแบบนี้ได้แก่ บ้านกระเบื้อง  ซึ่งเป็นเนินดินขนาดใหญ่มี ๓ เนินดินติดต่อกัน ในการตัดถนนผ่านหมู่บ้านรถแทรกเตอร์ได้ตัดชั้นดินของแหล่งชุมชนโบราณลึกไปอีกถึง ๓ - ๔ เมตร เผยให้เห็น   ชั้นดินที่มีการอยู่สืบเนื่องกันมาอย่างน้อย ๒-๓ ชั้น ชั้นต่ำสุดสัมพันธ์กับเครื่องปั้นดินเผาแบบหนาและหยาบ เปลือกหอย และกระดูกสัตว์ ชั้นบนๆ ขึ้นมาสัมพันธ์กับเครื่องปั้นดินเผาชนิดบางมีลายเชือกทาบ และบรรดาภาชนะบรรจุกระดูกคน ตามแบบต่างๆ นอกนั้นยังพบเศษขี้โลหะ ที่เหลือจากการถลุงแล้ว     เนินดินอีกแห่งหนึ่งคือ บ้านโคกสูง พบชั้นดินที่อยู่อาศัยอย่างน้อย ๒ - ๓ ชั้น และพบเศษขี้แร่โลหะ   เช่นเดียวกันกับที่บ้านกระเบื้อง
() แบบที่เป็นเนินดินที่คูน้ำล้อมรอบ ได้แก่ บ้านแพ บ้านโคกเมืองไช บ้านเมืองน้อย บ้านดงพลอง บ้านโคกเมือง และบ้านทุ่งวัง ชุมชนโบราณเหล่านี้บางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบชั้นเดียว แต่บางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป เช่น บ้านดงพลอง และบ้านโคกเมือง แหล่งสำคัญเห็นจะได้แก่บ้านดงพลอง ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีคูน้ำล้อมรอบสองชั้น พบเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะใส่กระดูกคนตายและเครื่องปั้นดินเผาเครือบแบบลพบุรี ซึ่งเข้าใจว่าคงแพร่มาจากเตาบ้านกรวด แสดงให้เห็นว่าชุมชนนี้คงมีอยู่เรื่อยมาจนถึงสมัยลพบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ บ้านโคกเมืองก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่เป็นชุมชนรูปกลม มีคูน้ำล้อมรอบถึง ๓ ชั้น ภายในชุมชนพบเศษภาชนะดินเผา พร้อมบรรจุกระดูกและขี้โลหะที่ถลุงแล้วเป็นจำนวนมาก ถัดมาก็เป็นบ้านทุ่งวัง ซึ่งเป็นเนินดิน ๒ - ๓ เนินที่มีคูน้ำโอบรอบเข้าไว้ด้วยกัน พบเสมาหินทรายแบบทวารวดี และเนินดินลูกหนึ่งที่ใช้เป็นแหล่งถลุงโลหะโดยเฉพาะ นอกนั้นยังมีผู้พบเทวรูปและเครื่องปั้นดินเผาแบบขอมซึ่งเป็นของในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘) ลงมา
() แบบที่เป็นเนินดิน ๒ - ๓ เนิน มีคูน้ำล้อมรอบและมีการสร้างคันดินโอบรอบอีก      ชั้นหนึ่งพบที่บ้านปะเคียบเพียงแห่งเดียว แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของผังชุมชนตั้งแต่ระยะแรกที่มีเพียง  เนินดินเป็นที่อยู่อาศัย แล้วต่อมาก็มีการขุดคูน้ำล้อมรอบ และในสมัยหลังสุดก็มีการสร้างคูคันดินเป็นกำแพงเมืองโอบรอบอีกชั้นหนึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่น่าเสียดายที่ว่าการสร้างกำแพงดินนี้เสร็จ เพียงแค่ด้านตะวันตกด้านใต้ถ้าหากว่าทำเสร็จแล้วผังของชุมชนแห่งนี้จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ      ผังเมืองร้อยเอ็ด และสุรินทร์ทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการที่จะปรับปรุงให้ชุมชนบ้านปะเคียบเป็นเมืองขึ้นในสมัยลพบุรี ราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ (พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘) นอกจากนี้บริเวณภายในชุมชนบ้านปะเคียบเองก็แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่สอดคล้องกับลักษณะผังเมืองที่ได้กล่าวมาแล้วคือพบเนินดินที่จัดไว้เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ เป็นที่ฝังอัฐิคนตาย ซึ่งบรรจุไว้ในหม้อกระดูก ต่อมาบริเวณนี้      ได้กลายเป็นศาสนสถานทางพุทธศาสนา มีเสมาหินที่มีรูปสลักเป็นรูปสถูปและฐานกลีบบัว อันเป็นสัญลักษณ์ในทางพุทธศาสนา ปักอยู่หลายหลัก รวมทั้งมีชิ้นส่วนของธรณีประตูหินที่แสดงให้เห็นว่า  เคยมีการสร้างอาคารในรูปของวิหารบนเนินนี้ด้วย นอกจากนี้ยังพบเศษโลหะสัมริดที่หล่อเป็นรูป       วงแหวนและชิ้นส่วนของเทวรูปและข้างในบริเวณนี้อีกด้วย   อันแสดงให้เห็นว่าเป็นชุมชนที่มีพัฒนาการมาถึงสมัยทวารวดี และลพบุรี
ทางฝั่งเหนือของลำน้ำ ในรัศมี ๒ - ๗ กิโลเมตร จากฝั่งน้ำสำรวจพบแหล่งโบราณคดี จำนวน ๑๗ แห่ง คือ บ้านเมืองไผ่ บ้านเมืองบัว บ้านจาน บ้านขี้เหล็ก บ้านน้ำอ้อมใหญ่ บ้านแสงสุข  บ้านยะวึก บ้านขี้ตุ่น บ้านน้ำอ้อม บ้านกระเบื้องใหญ่ บ้านกระเบื้องน้อย บ้านหัวนาดำ บ้านสำโรง บ้านตึกชุม บ้านโนนยาว บ้านเขาโค้ง บ้านกระเบื้อง แหล่งโบราณคดีเหล่านี้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันกับทางฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำมูล คือ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ ๒ แบบ คือ แบบที่เป็นเนินดินโดยไม่มีคูน้ำล้อมรอบ และแบบที่มีคูน้ำล้อมรอบ ในบรรดาแบบที่ไม่มีคูน้ำล้อมรอบที่น่าสนใจเห็นจะได้แก่ บ้านกระเบื้องใหญ่ ตำบลยะวึก เป็นเนินดินขนาดใหญ่ที่มีความสูงลาดขึ้นไปจากทางตะวันตกไปทางตะวันออก แสดงถึงการทับถมของแหล่งที่อยู่อาศัยหลายยุคหลายสมัย ตอนปลายเนินทางด้านตะวันออก ซึ่งเป็นตอนที่สูงสุดนั้นปัจจุบันเป็นเขตวัดประจำหมู่บ้าน ดูเหมือนจะถูกจัดไว้ให้เป็นแหล่งศักดิ์สิทธิของชุมชนในสมัยโบราณ เพราะเป็นบริเวณที่มีเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้เป็นหม้อบรรจุกระดูกคนตายอยู่หนาแน่นกว่าที่อื่นๆ เนินดินอีกแห่งหนึ่งคือ ที่บ้านโนนยางร้างอยู่ในเขตตำบลบ้านกระเบื้อง อำเภอชุมพลบุรี เป็นเนินดินที่ตั้งอยู่ติดกับลำแม่น้ำมูล ปัจจุบันลำน้ำเปลี่ยนทางเดินเลยกัดเซาะเนินดินแห่งนี้พังทลายลงน้ำไปครึ่งเนิน เผยให้เห็นถึงชั้นดินธรรมชาติ และชั้นดินที่อยู่อาศัยตั้งแต่ชั้นล่างสุดจนถึงชั้นบนสุดที่มีระดับสูงถึง ๔ เมตร เนินดินแห่งนี้ทางคณะสำรวจได้ทำการขุดหลุมทดลองทำผังบริเวณ นำเศษเครื่องปั้นดินเผามาวิเคราะห์ และส่งตัวอย่างถ่านไปทำการกำหนดอายุที่สถาบันพลังงานปรมาณูแห่งชาติ 
ส่วนแหล่งโบราณคดีแบบที่มีคูน้ำล้อมรอบนั้น ในบริเวณนี้มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ แหล่งที่เป็นขนาดเล็กมีลักษณะกลม และบางแห่งก็มีคูน้ำล้อมรอบ ๒ - ๓ ชั้น เช่น บ้านน้ำอ้อมใหญ่ เป็นต้น แต่มักเป็นเนินดินต่ำๆ มีชั้นดินที่มีเศษเครื่องปั้นดินเผาไม่ลึก และไม่มีความหนาแน่น แสดงถึงการตั้งหลักแหล่งแต่เพียงระยะเวลาหนึ่งแล้วร้างไป ส่วนแหล่งขนาดใหญ่นั้นมักมีรูปแบบไม่สม่ำเสมอ เช่นที่บ้าน ยะวึก และบ้านตึกชุม เป็นต้น แต่ละแห่งมีคูน้ำล้อมรอบขนาดใหญ่ที่สำคัญเห็นจะได้แก่ บ้านยะวึก  เพราะภายในบริเวณที่มีคูน้ำล้อมรอบนั้น มีอยู่หลายเนินดินที่อยู่อาศัย พบเศษเครื่องปั้น  ดินเผาที่เป็นหม้อบรรจุกระดูกและขี้โลหะที่เหลือจากการถลุงกระจายไปทั่ว นอกคูน้ำออกมาก็มีเนินดินที่บางเนิน เช่น บริเวณที่วัดยะวึก ตั้งอยู่นั้นมีลักษณะเหมาะที่เป็นทั้งแหล่งฝังอัฐิคนตายและการถลุงโลหะ ทางคณะสำรวจได้ทำการขุดหลุมทดลองในบริเวณนี้เช่นกัน ห่างออกไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวทางถนนที่เป็นคันดินไปติดต่อกับแหล่งชุมชนโบราณที่บ้านน้ำอ้อมใหญ่ และบ้านแสงสุข ยิ่งกว่านั้นยังมีแนวทางไปติดต่อกับชุมชนโบราณอีกหลายแห่งในเขตลำน้ำพลับพลาทางเหนือจากร่องรอยคันดินที่สัมพันธ์กับแหล่งชุมชนอื่นในบริเวณใกล้เคียงเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าแหล่งโบราณที่บ้านยะวึกนี้มีลักษณะเป็นชุมชนใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นก็ว่าได้
. มีการขุดพบพระพุทธรูปนาคปรก สมัยทวารวดี ที่บ้านเมืองฝ้าย ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอ   ลำปลายมาศ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธรูปนาคปรก สมัยทวารวดีที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังพบพระพุทธรูปสมัยทวารวดีอีกหลายองค์ ที่อำเภอพุทไธสง ซึ่งมีอายุอยู่ในุทธศตวรรษที่ ๑๓ ๑๕ และพบใบเสมาที่บ้านปะเคียบ อำเภอคูเมือง อันเป็นโบราณวัตถุสมัย    ทวารวดี ดังนั้นจึงทำให้สันนิษฐานได้ว่า ดินแดนจังหวัดบุรีรัมย์ปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งชุมชนสมัยทวารวดี       อย่างน้อยที่สุดก็ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓
. จากหลักฐานที่ปรากฏในปัจจุบันด้านสถาปัตยกรรม และเครื่องมือเครื่องใช้ เช่นปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และอื่นๆ อีกมาก เทวรูป พระพุทธรูป ซึ่งมีความงดงามและมีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียง นอกจากนั้นยังมีเครื่องปั้นดินเผาชนิดเผาแกร่ง  มีเตาเผาขนาดใหญ่ ซึ่งนักโบราณคดีหลายท่านกล่าวว่า ไม่พบในที่อื่นแม้แต่ในเขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชา) ศิลปสถาปัตยกรรมเหล่านี้มีอายุอยู่ในสมัยพระนคร
. จากการก่อสร้างปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเทวสถานประกอบกิจทางศาสนา และเพื่อเป็นการเสริมสร้างบารมีของกษัตริย์ผู้มีอำนาจ เข้าใจว่าปราสาทหินเขาพนมรุ้งสร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของ เมืองใด เมืองหนึ่งในละแวกใกล้เคียงกันเพราะห่างจากเขาลูกนี้ไปทางใต้ ประมาณ ๘ กิโลเมตร มีเมืองโบราณเมืองหนึ่งขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่มีระบบการชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่พอที่จะใช้ในการอุปโภคบริโภคของชุมชนเมืองนั้นได้ตลอดทั้งปี อ่างเก็บน้ำนี้บุผนังทั้ง ๔ ด้าน ด้วยศิลาแลง กำแพงเมืองเป็นกำแพงดินที่ขุดจากคูรอบเมืองพูนให้สูงขึ้น และปักเสาระเนียดบนคันดินนั้น ร่องรอยต่างๆ สาบสูญหมดแล้ว คงเหลือเพียงคันดินและกำแพงดินบางตอนเท่านั้น ที่กลางเมืองมีเทวสถานขนาดใหญ่ สร้างขึ้นบนผังที่งดงาม ตัวเทวสถานสร้างขึ้นด้วยอิฐทั้งหลัง ส่วนระเบียงและใดปุระทั้ง ๔ เรียงด้วยหินทราย การเรียงอิฐก่อสร้างในเทวสถานใช้ กรรมวิธีอย่างดียิ่งจนสามารถทำให้เนื้ออิฐแนบสนิทจนเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกันเห็นเป็นรอยเส้นเล็กๆ ระหว่างอิฐแต่ละก้อนเท่านั้น อิฐเหล่านี้มีส่วนของการผสมดินที่ดี จนสามารถนำมาฝนให้เรียบในระหว่างการเรียง และใช้น้ำที่ละลายออกมาจากอิฐนั้นปนด้วยยางไม้หรือน้ำกาวเป็นตัวเชื่อมอิฐเข้าด้วยกัน    ทำให้ดูไม่เห็นรอยเลื่อมต่อของอิฐ
ตามลักษณะของเทวสถานเมืองโบราณแห่งนี้ เมื่อนำไปเทียบกับเทวสถาน ๒ - ๓ หลัง    ที่ก่อสร้างด้วยอิฐบนยอดเขาพนมรุ้งแล้วเห็นว่าน่าจะสร้างขึ้นในยุคสมัยไล่เลี่ยกัน หรือ ยุคเดียวกันในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖
. จากศิลาจารึก  ซึ่งพบที่ เขาพนมรุ้ง ได้กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์ ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ในการสร้างและดูแลรักษาปราสาทพนมรุ้ง เป็นคนละองค์กับกษัตริย์ที่ปกครองนครวัด เช่น หิรัณยะวร-มันกษีตินทราทิตย์  วิเรนทรวรมัน เป็นต้น และระบุศักราชเป็น พ.. ๑๔๓๓ ก็มี ๑๕๓๒ ก็มี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีกษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองในแถบนี้เป็นอิสระ แต่ยอมรับความเป็นผู้นำของพระนคร

จากหลักฐานและเหตุผลข้างต้นนี้ พอจะสรุปได้ว่าดินแดนอันเป็นที่ตั้งจังหวัดบุรีรัมย์    (เขตจังหวัดไม่ใช่ตัวจังหวัด) ปัจจุบันนี้เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ สมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรี มีกษัตริย์ที่มีอำนาจปกครองเป็นอิสระ มีประชาชนอยู่หนาแน่น จนสามารถเกณฑ์แรงงานสร้างศาสนสถานอันยิ่งใหญ่อย่างปราสาทเขาพนมรุ้ง และแต่ละชุมชนจะต้องมีประชากรหนาแน่นพอที่จะสร้างคูเมืองขนาดใหญ่ได้ เมืองต่างๆ เหล่านี้คงร้างไปตามธรรมชาติ หรือจากภัยต่างๆ เช่น ฝนแล้ง  โรคระบาด  สงคราม โจรผู้ร้าย เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแม้แต่นครวัด นครธม ที่ถูกอาณาจักรอยุธยารุกรานครอบครอง เมื่อ พ.. ๑๘๙๕ และได้ร้างอยู่จนป่าไม้ใหญ่ปกคลุม ขนาดที่ชาวฝรั่งเศส เข้าไปพบโดยบังเอิญ และไม่เชื่อในสายตาตัวเองว่าจะพบสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ เช่นนี้ สอบถามชาวบ้านก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นอะไร สร้างเมื่อไร  หากไม่ได้อาศัยศิลาจารึกก็คงไม่มีใครทราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
อาจมีประชาชนส่วนหนึ่งที่รอดจากภัยมาได้ เข้าหลบอยู่ในป่าชายแดน จนทำให้ทาง     กรุงศรีอยุธยาเรียกว่า เขมรป่าดง
ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นบุรีรัมย์ขาดตอนอยู่ช่วงหนึ่งคือ จากยุคโบราณมาจนถึงยุคสิ้นสุดการก่อสร้างปราสาทหินในที่ต่างๆ จากนั้นประวัติศาสตร์บุรีรัมย์เริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้งหนึ่งตอนปลายสมัยอยุธยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น